การระเบิดของบัญชีคืออะไร?

การระเบิดของบัญชีหมายถึงการดำเนินการปิดบัญชีทางระบบอัตโนมัติเมื่อยอดเงินในบัญชีของคุณไม่เพียงพอสำหรับการขาดทุน

ตัวอย่างที่ 1

เช่น หากเงินในบัญชีของคุณคือ 200 ดอลลาร์ และคุณซื้อ 0.1 ล็อต EUR/USD ที่มีการเพิ่มขึ้น มาร์จิ้นที่ใช้คือ 25 ดอลลาร์ คุณยังมีเงินทุนที่ใช้งานได้ 175 ดอลลาร์ เมื่อตลาดมีการเคลื่อนไหวลงและขาดทุน 175 จุด จะเกิดการเรียกเก็บมาร์จิ้น ระบบจะบังคับให้คุณปิดบัญชี (ความเสี่ยงสูง)

ตัวอย่างที่ 2

หากเงินในบัญชีของคุณคือ 2000 ดอลลาร์ และคุณซื้อ 0.1 ล็อต EUR/USD ที่มีการเพิ่มขึ้น มาร์จิ้นที่ใช้คือ 25 ดอลลาร์ คุณยังมีเงินทุนที่ใช้งานได้ 1975 ดอลลาร์ เมื่อตลาดมีการเคลื่อนไหวลงและขาดทุน 1975 จุด จะเกิดการเรียกเก็บมาร์จิ้น ระบบจะบังคับให้คุณปิดบัญชี (ความเสี่ยงต่ำ)

ตัวอย่างที่ 3

หากเงินในบัญชีของคุณคือ 4000 ดอลลาร์ และคุณซื้อ 0.1 ล็อต EUR/USD ที่มีการเพิ่มขึ้น มาร์จิ้นที่ใช้คือ 25 ดอลลาร์ คุณยังมีเงินทุนที่ใช้งานได้ 3975 ดอลลาร์ เมื่อตลาดมีการเคลื่อนไหวลงและขาดทุน 3975 จุด จะเกิดการเรียกเก็บมาร์จิ้น ระบบจะบังคับให้คุณปิดบัญชี (ความเสี่ยงน้อยมาก)

ตัวอย่างที่ 4

หากเงินในบัญชีของคุณคือ 10000 ดอลลาร์ และคุณซื้อ 0.1 ล็อต EUR/USD ที่มีการเพิ่มขึ้น มาร์จิ้นที่ใช้คือ 25 ดอลลาร์ คุณยังมีเงินทุนที่ใช้งานได้ 9975 ดอลลาร์ เมื่อตลาดมีการเคลื่อนไหวลงและขาดทุน 9975 จุด จะเกิดการเรียกเก็บมาร์จิ้น ระบบจะบังคับให้คุณปิดบัญชี (ความเสี่ยงแทบจะเป็นศูนย์)

จากที่กล่าวมา

1. ยอดเงินในบัญชีที่เพิ่มขึ้นย่อมหมายความว่าความสามารถในการรับความเสี่ยงที่มากขึ้น จำนวนกำไรที่ได้ก็มากขึ้นตามไปด้วย

2. การลงทุนเป็นเรื่องแบบนี้: ความเสี่ยงและผลตอบแทนจะเป็นของคู่กันเสมอ ความเสี่ยง + ผลตอบแทน = 1 ความสัมพันธ์ที่ลดลงและเพิ่มขึ้น หากคุณอยู่ในสถานการณ์ความเสี่ยงสูง โอกาสในการทำกำไรนั้นจะน้อยมาก; แต่เมื่อคุณควบคุมความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่ต่ำ คุณจะได้รับผลตอบแทนที่ดี

3. นักลงทุนหลายคนมักคิดมากที่สุดว่าอย่างไรจะทำกำไรได้ แต่จริง ๆ แล้วในกระบวนการลงทุน การคิดถึงการควบคุมความเสี่ยงให้ดีเป็นสิ่งสำคัญ หากคุณควบคุมความเสี่ยงได้ดี การไม่ทำกำไรก็เป็นเรื่องยาก